พบเพื่อน...โดยบังเอิญ - พบเพื่อน...โดยบังเอิญ นิยาย พบเพื่อน...โดยบังเอิญ : Dek-D.com - Writer

    พบเพื่อน...โดยบังเอิญ

    ผู้เข้าชมรวม

    98

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    98

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  26 ก.ค. 65 / 12:29 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    พบเพื่อนโดยบังเอิญ

    ช่วงไปออกค่ายอาสาพัฒนาชนบท ที่กิ่งอำเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นประสบการณ์ชีวิตครั้งแรกของผม  โดยการริเริ่มของชมรมสัตวบาลอาสา  คณะเทคโนโลยีการเกษตร  เจ้าคุณทหาร จำนวนร้อยกว่าชีวิต ที่มีแต่สุภาพบุรุษล้วนๆ    มันทำให้พวกเราสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง     นับตั้งแต่วันแรกที่ผมมาอยู่ค่ายอาสา ที่กิ่งอำเภอเมืองสรวง  พูดได้ว่า ผมไม่มีปัญหาด้านการกินอยู่ เลย   เพื่อนๆ น้องๆ บางคน อาจบ่นบ้าง ที่เจอกับความซ้ำซากของอาหารพื้นถิ่น อย่างส้มตำ  ปลาร้าบอง ข้าวเหนียว ที่ไม่คุ้นชิน    ก็แน่ล่ะ  เรามาอาสาพัฒนา  มิได้หวังมาสุขสบายดังการไปเที่ยวทัศนาจร

    สำหรับตัวผมเองมองว่า  การออกค่ายอาสา   มันไม่ได้ถึงกับลำบากมากมายนัก  เพราะโดยส่วนตัวในวัยเด็กผมก็พบเจอเรื่องแบบนี้มาจนชิน  การออกค่ายครั้งนี้ ถือเป็นกิจกรรมของสาขา  ซึ่งมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้สมาชิกชมรมและผู้เรียนในสาขา  ได้มีประสบการณ์ ที่จะนำความรู้ ไปเป็นวิทยากร เพื่อฉีดวัคซีน ตอนสัตว์  รักษาสัตว์ให้ชาวบ้าน ช่วยพัฒนาวัด หมู่บ้าน โรงเรียน อาทิ   ปรับปรุงถนนหนทาง  ทำความสะอาด ปัด กวาดเช็ดถูศาลาวัด

    ผมยังจำได้ว่าเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2523  ที่ศาลาวัดเหล่าฮก  กิ่งอำเภอเมืองสรวง ที่พวกเราต้องย้อนกลับมาพักอีกครั้ง ด้วยเพราะพวกเรา มีกำหนด ที่จะต้องจัดกิจกรรมวางพวงมาลา ร่วมกับหน่วยราชการต่างๆ  ณ ที่หน้าที่ว่าการกิ่งอำเภอเมืองสรวง ร้อยเอ็ด    ผมกับรุ่นน้องสองคน คือ สันติกับ ไอ้เหมียน เด็กจากนครพนม ได้มาช่วยเป็นลูกมือให้ผมในการทำพวงมาลา เพื่อใช้ไปวางในวันปิยะมหาราช

    “ไอ้เหมียน   เอ็งลองไปสอบถามชาวบ้านให้หน่อยว่า  ที่บ้านใคร มีกระด้งฝัดข้าว มีเมล็ด ธัญพืชชนิดต่างๆ รวมทั้งมีรังไหม สีเหลืองบ้าง”

    “ครับพี่  เดี๋ยวผมจัดการให้...” เหมียนตอบ

    เหมียน เป็นคนอิสาน  เดินไปคุยกับผู้นำท้องถิ่นสักครู่   จากนั้นอีกสิบนาที พวก เราก็ได้สิ่งที่ต้องการ เพื่อมาจัดทำพวงมาลาอย่างเรียบง่าย ผมคิดแบบไว้ในใจแล้ว

    “อ้อ..  ยังขาดวัสดุ อีกสามอย่าง คือ กระดาษสีทอง ลวด และกาวลาเท็กซ์”  ผมบอกน้องที่มาช่วยงาน ให้ไปประสานงาน

    “งั้นผมจะไปคุยกับปลัดอาวุโสให้” สันติ พูด

    สันติ เป็นคนปักษ์ใต้ ดูค่อนข้างเป็นคนเจ้าสำอาง เขามีชุดนอนลายจุดสีเขียวอ่อนใส่ ขณะที่มาช่วยงาน ส่วนผมนุ่งผ้าขาวม้า เปลือยท่อนบน  เพราะความเคยชิน มันทำให้การทำงานคล่องตัวไม่รุ่มร่าม

    เมื่อวัสดุครบตามต้องการแล้ว  ผมให้เหมียน ไปทำความสะอาดกระด้ง  เขาเดินลงไปใต้ถุนศาลาวัดสักพักก็ขึ้นมา

    “เรียบร้อย ครับพี่ ๆ”  เหมียนตอบ

    “เหมียน...ช่วยเลือกรังไหมให้หน่อย เลือกรังที่มีขนาดเท่าๆ กันนะ    สันติช่วยเอากระดาษทอง สเก็ตภาพ พระปิยะทรงม้า ให้ด้วย” ผมบอก

    “ผมนึกภาพ ท่าทรงม้าไม่ออกครับ .. พี่”

    “เอ็งก็เอาแบงค์สิบ   ออกมาดูเป็นแบบสิ”

    “ไม่มีสักเก๊  เลยพี่”

    “เฮ้ย..  พวกเราใคร มีแบงค์สิบ  ขอยืมให้ไอ้สันติ  ยืมมาดูเป็นแบบ  เพื่อจะสเกตภาพทำพวงมาลา”  ผมตะโกนบอกสมาชิกที่อยู่บนศาลา

    เมื่อได้ธนบัตรแล้ว สันติก็จัดแจง ใช้ดินสอ ร่างแบบคร่าวๆ แล้วตัดตามแบบที่ร่าง ที่เป็นพระปิยะทรงม้า  มาติดลงในกระด้ง   เราใช้เมล็ดธัญพืช เช่น ข้าวโพด ถั่วเขียว  ถั่วแดง  ละหุ่ง  และรังไหม มาติดประกอบภาพตามแบบจนสวยงาม   ผมเอาลวดมาขดม้วนทบกันสามสี่ทบ แล้วพันกันให้หนา เพื่อจะได้ทำเป็นตะขอเกี่ยว กับขาตั้งไม้ไผ่  ที่เราทำขึ้นไว้วางพวงมาลา   พวกเราใช้เวลาในการประดิษฐ์ ประมาณสองชั่วโมงเศษ    ขณะทำงานก็มีสุราจิบไปทำไป ...งานศิลปะ...เป็นงานที่ต้อง มีจินตนาการ และความสุนทรีย์      การได้น้ำเมามากระตุ้นสมองซีกขวา  มันทำให้เกิดความสุนทรีย์ และจะบังเกิดให้งานออกมาดีกว่าปกติ    ทุกคนรู้สึกพอใจกับงานที่ออกมา  เราไม่ต้องลงทุนไปซื้อพวงมาลา จากตัวจังหวัด   ข้อความด้านล่างของพวงมาลา บอกถึง คณะผู้มาวางพวงมาลา คือ  ชมรมสัตวบาลอาสา จากสถาบันพระจอมเกล้าฯ

    -----------------------------

    เวลาแปดนาฬิกา ณ ที่ว่าการกิ่งอำเภอเมืองสรวง  เต็มไปด้วย  ข้าราชการ ประชาชน รวมทั้งนักเรียนระดับชั้นประถมที่อยู่ใกล้ๆ ที่ทำการอำเภอ  ในวันนี้ ประธานและรองประธานชมรม เป็นตัวแทนของทุกคนไปวางพวงมาลา   วันนี้หลังเสร็จจากการวางพวงมาลาแล้ว  ทางอำเภอได้จัดกิจกรรมการแข่งขันฟุตบอล เชื่อมความสัมพันธ์ ระหว่างข้าราชการกิ่งเมืองสรวงกับชาวค่ายอาสา   กิจกรรมการพัฒนาจึงงดหนึ่งวัน     ผลการแข่งขันกีฬาฟุตบอล  เสมอกันไป 1 ต่อ 1 การเล่นเป็นไปด้วยมิตรภาพ   มีประชาชน มาชมการแข่งขัน ประมาณสองร้อยคน  ช่วงเย็น มีการพบปะสังสรรค์กันระหว่างข้าราชการฝ่ายปกครอง ตำรวจ กับนักศึกษาและชาวบ้าน

    “ขลุ่ย... สักทุ่มครึ่ง หลังจากเราพบปะสังสรรค์ที่อำเภอ แล้ว เราจะไปบ้านปลัดอาวุโสกันนะ” อาจารย์หมอแอบกระซิบผม เนื่องจากเกรงคนอื่นๆ จะทราบ

    “ครับ”

    “เห็นปลัดว่า  จะเอาไก่งวง มาอบฟาง กินกัน” อาจารย์หมอพูด

    “เกิดมาผมยังไม่เคยกินเลยสักครั้งเดียว  น่าสนใจครับ” ผมตอบ 

    เมื่อได้เวลานัดหมาย  ผมจึงแอบหลบเพื่อน ออกจากงานสังสรรค์ อย่างเงียบๆ     จริงๆ แล้วหากจะชวนไปกันมากๆ ก็เกรงใจปลัด   ดังนั้นอาจารย์หมอ จึงชวนแค่เพียงคนรู้ใจสามสี่คน    เมื่อมาถึงบ้านพักปลัดอาวุโส เห็นชาวบ้านกำลังถอนขนไก่งวง อย่างพิถีพิถัน ส่วนอีกคน กำลังโบกพัดเตาถ่านที่ทำขึ้นเอง    ตามจินตนาการผม นึกว่าปลัดจะเอาไก่งวง ตัวโตๆ    แต่พอเห็นเข้าจริงๆ ไก่งวงที่ใช้อบฟางตัวไม่ใหญ่ ดังที่เคยเห็นฝรั่งเขาทำกินกันในวันคริสต์มาส    พวกเราต้องนั่งรอให้สมุนไพรที่หมักเข้าเนื้อไก่งวงชั่วโมงเศษ  จึงทำการอบ  ปลัดใช้ไม้ไผ่ผูกกับไก่งวง แผ่แบนๆ แล้วดำเนินการ หมุนตัวไก่ไปมาให้ทั่ว กว่าจะได้กินไก่งวงอบฟาง กับแกล้มบนโต๊ะ อย่างซ่าเนื้อ (อิสาน)  ก็เกือบจะหมด

    “สันติ มาช่วยปลัด สับไก่เร็ว” อาจารย์หมอพูด

    ครู่ต่อมา ไก่งวงอบฟาง ก็เสร็จสรรพ  สันติสับใส่ลงจาน  พร้อมให้สมาชิกชิม กลิ่นหอมฉุย   ยั่วน้ำลาย

    “พี่หมอ ...ประเดิมชิมก่อนเลยครับ” ปลัดอาวุโส พูดให้เกียรติอาจารย์ 

    เรานั่งดื่มสุรา  พร้อมกินไก่งวง และแน่นอน สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ เสียงเพลง และการพูดคุย ทะลึ่งโปกฮา ใครมีมุกอะไรก็ปล่อยได้อย่างไม่อั้น 

    “คืนนี้ พวกเราจะได้ฟังเสียงเพลงอันไพเราะจาก นักร้องประจำวงของคณะเกษตร พระจอมเกล้า เขาผู้นั้น คือ ไอ้ขลุ่ย...”  อาจารย์หมอ ทำหน้าที่โฆษกเอง

    หลังจากร้องเพลงตามคำแนะนำของอาจารย์หมอแล้ว   ผมยังร้องเพลงตามคำขอ ของปลัดอาวุโส คือเพลง...ลำน้ำพอง...  ดูเหมือนว่าเพลงนี้ในขณะนั้นกำลังโด่งดัง และฮิตมาก ขณะผมร้อง ก็ผายมือให้ปลัดอาวุโส ได้มีส่วนร่วมร้องด้วย  ดูเขามีความสุขมาก นี่คือจิตวิทยา ที่อาจารย์หมอรู้นิสัยผมดี  ดังนั้น.. ไม่ว่าจะไปไหนมาไหน ท่านมักจะนำผมไปด้วยเสมอ  เราเสมือนคอหอยกับลูกกระเดือก มองตาก็รู้ใจ   กำลังเพลิดเพลิน แต่..พอดูนาฬิกา จึงเห็นว่า ขณะนั้นใกล้จะตีสอง จึงขอตัวกลับมาพักผ่อน  และคืนนั้น..ผมมีสันติ มานอนเป็นเพื่อนที่ สุสานหลังวัดเหล่าฮก    อากาศเริ่มเย็นมาก  ด้วยความหยิ่งและอวดเก่ง  ผมจึงต้องนอนสั่นอย่างทรมาน  เนื่องจากมีเพียงผ้าขาวม้าผืนเดียวห่มแทนผ้าห่ม ว่าไปแล้ว .. ก็น่าสมน้ำหน้าตัวเอง ตอนที่ชาวบ้านมาแจกผ้าห่มให้  กลับไม่ยอมรับเอาไว้ใช้    ...“ชาติเสือต้องไว้ลาย หนาวก็ต้องทนยอมหนาว  มันคงไม่ตายหรอก”...  ผมคิด

    ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,

    วันที่ 24  ตุลาคม   ที่บ้านหนองผือ ตรงกับวันออกพรรษา

    หลังจากเสร็จจากการทำงานช่วยเหลือพัฒนาวัดหนองผือ และพัฒนาหมู่บ้านเสร็จแล้ว  แม้จะเป็นวันสำคัญทางศาสนา แต่สังคมชนบท เมื่อเสร็จกิจจากการทำการใดๆ  ก็มักจะมีการเลี้ยงแขก  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ได้พบกับนักศึกษาซึ่งเสมือนลูกหลาน  ผู้ใหญ่บ้านและคณะกรรมการหมู่บ้าน จึงนำสุรา มาให้กินกันอย่างไม่อั้น 

    ค่ำนี้พวกเราตั้งใจจะไปเวียนเทียนที่วัด    เวลาในขณะนั้น คือ ...ทุ่มครึ่ง... ผมมีอาการมึนเมาบ้างเล็กน้อย    อากาศมืดลงแล้ว ..  ชาวบ้านตลอดจนลูกเล็กเด็กแดง กว่าสามร้อยคน มาร่วมกิจกรรมเพื่อเวียนเทียน หลังจากพระสงฆ์ดำเนินการด้านพิธีกรรมเสร็จ จึงถึงช่วงที่จะมีการเวียนเทียน วัยรุ่นสาววัยสิบเจ็ดสิบแปด นุ่งผ้าซิ่น สวมเสื้อมิดชิด บางคนมีดอกไม้แซมผม  กลิ่นแป้ง น้ำหอมคลุ้งไปทั่ว   ผมมองไปยังสาวกลุ่มหนึ่งซึ่งหน้าตาดี

    แม้จะมืด..ค่ำ     เมื่อเริ่มมีการจุดเทียน ก็พอจะเห็นใบหน้าของสาวๆ   มีทางเดียว ที่จะได้รู้จักกับบรรดาสาวๆ เหล่านั้น คือจะต้องแกล้งทำ ไปขอจุดเทียนกับพวกเธอ

    “สันติ เดี๋ยวเราไปขอจุดเทียนกับสาวกลุ่มที่ใส่เสื้อสีฟ้ากัน” ผมเอ่ยปากบอก

    “ไปกันเลยครับ พี่”  สันติตอบ ทั้งสนับสนุน

    ผมกับสันติ ค่อยๆ แหวกผู้คน เพื่อไปยังกลุ่มสาวที่เป็นเป้าหมาย .. ขณะผมเดิน  ดูเหมือนจะมีกลุ่มบุรุษ ที่อยู่บริเวณใกล้เคียง   มองผมด้วยสายตาแทบไม่กระพริบ  ผมเริ่มรู้สึกหวั่นใจ เกรงว่าจะเกิดเรื่องการหึงหวงผู้หญิงในงานบุญ

    “สันติ  ไม่ต้องไปขอจุดเทียน ผู้หญิงคนนั้นก็ได้  เดี๋ยวมีเรื่อง จะเสียชื่อเปล่า” ผมบอก

    ระยะทางห้าเมตร  ที่พอจะมองบุคคล ที่เขาจับจ้องผม ตั้งแต่แรก   ผมพยายามเหลือบตา มองคนๆ นั้น ที่เขามองผมตาแทบไม่กระพริบ   ในสมองของผมที่มึนเมาเล็กน้อย  เริ่มลำดับภาพ และนึกถึงใบหน้าชายผู้นั้น

    “เฮ้ย... คุ้นๆ ว่ะ  หน้าตาของไอ้คนนี้  เหมือนว่า เราเคยรู้จักมัน มาก่อน”  ขณะที่ผมกำลังนึก     ชายสามสี่คน ก็เดินเข้ามาหาผม มีชายคนหนึ่งที่ผมคุ้นหน้า ได้ตบหลังผม เข้าไปฉาดใหญ่ จนสันติ ต้องจับแขนเขาไว้  เนื่องจากเกรงจะเกิดการตะลุมบอนกันขึ้น

    “มึงไอ้ริน.. ใช่เปล่า” ชายคนดังกล่าว พูด

    “มึง  ไอ้นาจ... ใช่มั้ย”  ผมถามกลับ

    “เออ...ใช่  ไปไง มาไง.. วะ” เขาถาม   

    “มาออกค่ายอาสาพัฒนา ที่เมืองสรวง” ผมตอบ

    “แล้วนาย..มาทำอะไรที่นี่” ผมถาม

    “เป็นครูอยู่ที่บ้าน กกกอก” ครูอำนาจตอบ

    “เหรอ ไม่เจอกันนานเลย แทบจำไม่ได้   ไม่คิดเลยว่า จะมีเพื่อนมาทำงานที่ภาคอิสาน   นี่เกือบจะมีเรื่องแล้วล่ะ  เพราะเกิดความเข้าใจผิดกัน  เรากำลังเหล่สาว ใกล้ๆ ที่นายยืน พอดี” ผมพูด

    “เราเรียน จบ วค. แปดริ้ว พร้อมไอ้สัน ไอ้นิจ  ก็สอบบรรจุ.. เขาส่งมาสอนที่นี่  เราอยู่ได้เกือบสิบปีแล้วล่ะ” ครูอำนาจตอบ

    “มีครอบครัวยัง” ผมถาม

    “โสด  เดี๋ยว แวะที่บ้านพักเรา นะ   คืนนี้จะได้นั่งคุยกันยาวๆ”  ครูอำนาจพูด

    “ได้สิเพื่อน  เราขอให้อาจารย์ เราไปด้วยคนหนึ่ง พร้อมรุ่นน้องคนนี้” ผมบอกกับอำนาจ

    “ไม่มีปัญหา เพื่อน” ครูอำนาจ ตอบ

    อำนาจ  สอนสังวาล  เพื่อนร่วมชั้นเรียนของผม ตั้งแต่ประถมศึกษา จนมาเรียนจบชั้นมัธยมด้วยกัน  อำนาจ มาเรียนวิทยาลัยครู จากนั้นผมกับเขาไม่เคยเจอกันอีกเลย    อำนาจเป็นคนชนบท   มีฐานะยากจน ผมคบกับเขา เพราะผมไม่ชอบเด็กในตลาด     ผมได้เชิญอาจารย์หมอ มาบ้านพักครู และได้รู้จักกับเพื่อนของผมคนนี้    สิบนาทีต่อมาผมกับอาจารย์ และรุ่นน้องอีกสองคน ก็ได้มาที่บ้านพักครูอำนาจ   ที่บ้านพักครูมืดสนิท เ พราะหมู่บ้านนี้ ยังไม่มีไฟฟ้าใช้    ที่บ้านพักมีสองชั้น มีครูอำนาจพักแต่เพียงผู้เดียว หลังอื่นๆ ว่างเปล่า  .. ก่อนขึ้นบ้านมีแท๊งค์น้ำ รองน้ำฝน  ผมไม่สามารถมองเห็นอะไรได้มากกว่านี้  เนื่องจากที่บ้าน  ต้องใช้เทียนไขอย่างเดียว 

    “เราเตรียมแม่โขงไว้  สองกลม พอมั้ย .เพื่อน” ครูอำนาจพูด

    “นาจ... นี่อาจารย์เรา น่ะ” ผมพูด..  แนะนำเพื่อน 

    หลังจากทุกคนนั่งล้อมวง ก็นั่งคุยถึงความเป็นมา  ผมมีความสุขที่สุด   ที่ได้เจอกับเพื่อนคนนี้   แทบไม่น่าเชื่อเลย  ผมจะมีโอกาสได้พบกับเขา  ผมไม่นึกว่า จะมีเพื่อนมาทำงานไกลจากบ้านเกิด ในจังหวัดแดนอิสาน  อำนาจเป็นคนเงียบ  เป็นนักกรีฑา เขาเป็นตัวแทนของโรงเรียนวิ่งระยะไกล  เพื่อนๆ สมัยเรียนมักจะล้ออำนาจว่า ไอ้ฟันเหลือง เป็นเพราะเขาไม่ได้แปรงฟัน  นี่จึงเป็นสาเหตุ ที่ผมเกลียด เพื่อนในเมือง ที่มักชอบดูถูกเพื่อน ที่อยู่ในชนบท  แทบไม่น่าเชื่อเลย ว่าอำนาจ เป็นนักดื่ม ....ตั้งแต่เมื่อไหร่

    “เหล้าหมดแล้ว  เดี๋ยวผมจะไปเอาที่ร้านค้ามาอีกกลมนึง   กินจนเพลินเลยเนี่ยะ  ผมกับไอ้รินสนิทกันครับอาจารย์  นานๆ เจอกัน ขอกินกับมันจนยันสว่าง” ครูอำนาจพูด

    ท่ามกลางความมืด  แม้เทียน จะหมด  เราก็คงดวดกันยันสว่าง ..

    “พอแล้วโว้ย นาจ เดี๋ยวเราต้องทำงานอีก ขอบคุณมากนะเพื่อน” ผมบอกเพื่อน

    “ขอบใจมากนะครู อำนาจ” อาจารย์หมอพูด

    และจากวันนั้น จนวันนี้… ผมไม่รู้ข่าวคราว  เขาอีกเลย

    ขลุ่ย  บ้านข่อย          ๒ พค  ๖๔

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×